วันพุธที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2560

เพราะกรรมมีจริง

เพราะกรรมมีจริง
สุพล มังกร


 เมื่อหลายปีที่แล้ว ผมค้าขายอยู่ที่จันทบุรี ที่ๆผมวิ่งไปรับผลไม้มาค้าขายนั้นเป็นสวนของเพื่อนของผมเอง ซึ่งเราทำการค้าขายต่อกันมาหลายปีแล้ว จนผมค่อนข้างจะสนิทกับครอบครัวเพื่อนคนนี้ดี
เพื่อนของผมคนนี้ชื่อว่า ดำดำเป็นเจ้าของสวนทุเรียนและมังคุด เงาะ ขนาดใหญ่ ผลไม้ของดำนั้นเรียกได้ว่าสวย ขายได้ราคาดี บ้านของดำประกอบด้วย ฝนผู้เป็นภรรยา และ นพลูกชายคนโตวัยสิบหก และ นาวน้องสาวคนเล็กวัยสิบขวบ
จากที่ผมได้รู้จักกับดำ จึงได้รู้ว่าดำนั้นเป็นคนรัก ครอบครัวมาก ออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ เพราะไม่ว่าครอบครัวของเขาจะทำผิดทำถูกอย่างไรก็ตาม ดำต้องเข้าข้างลูกเมียของเขาไว้ก่อน ด้วยอุปนิสัยอย่างนี้จึงทำให้ลูกๆ ของเขามีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง โดยเฉพาะนพลูกชายคนโตที่มีนิสัยเอาแต่ใจหยาบคาย ใครว่า ใครแตะอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะเกี่ยวกับ เรื่องการซิ่งรถ ซึ่งดำไม่เคยว่าอะไรลูกชายเขาเลย
หลายครั้งที่ขับไปเฉี่ยวชนคนอื่น ทำตัวเป็นพวกกวนเมือง แต่ดำก็คอยแก้ตัวแทนลูกเสมอ แถมยังด่าคนที่มาแจ้งตำรวจอีกว่าโกหก หาว่าเขาอยากได้เงินของตัวเอง ทั้งๆ ที่เขาเดือดร้อนจริงๆ และเขาเองก็รู้ดีแก่ใจว่าใครเป็นคนโกหกกันแน่ แม้ผมจะเตือนเขา แต่เขาก็ไม่เคยปรับเปลี่ยนนิสัยข้อนี้เลย จนกระทั่งวันหนึ่งผมก็โดนฤทธิ์เดชนี้ด้วยตัวเอง
นับเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายอีกเรื่องหนึ่งของผม ในการที่ต้องขับรถคนเดียวดึกๆ ดื่นๆ แทนที่จะได้พักผ่อนอยู่ภายใต้ที่นอนอันอบอุ่น แต่คนค้าคนขายอย่างผมเวลาคือเงินทอง และการขับรถไปมาระหว่างจังหวัดก็ถือเป็นเรื่องปกติ อย่างคืนนี้ ผมขับรถปิกอัพบรรทุกผลไม้เต็มอัตรา เพื่อที่จะนำไปส่งขายในตอนเช้า
อันที่จริงผมควรจะออกจากจังหวัดจันทบุรี (ที่ผมไปรับผลไม้มาจากสวน) มาตั้งนานแล้ว หากแต่มันมีเหตุ ให้รถผมเกิดเสียกระทันหันและเสียเวลาซ่อมนานโข เป็นผลให้ผมต้องมาขับรถในเวลาเกือบๆ ตีสามอย่างนี้
ผมขับรถมาเรื่อยๆ ไม่ได้เร็วอะไรนัก ตามนิสัย ประกอบกับเส้นทางที่ผมใช้สภาพถนนไม่ค่อยดี ผมจึงค่อยๆ ขับ แต่ต้องยอมรับว่าข้อดีของการขับรถในเวลาดึกๆ คือไม่ค่อยจะมีรถอื่นเท่าใดนัก
เช่นคืนนี้ ถนนทั้งสายเงียบสงัด
ปรี๋นนนน!!!! เสียงแตรแหลมเล็กดังแสบแก้วหู พร้อมกับที่ดวงไฟสองดวงปรากฏไล่ตามรถผมมาอย่างกระชั้นชิด
ปรี๊นนนน!!!! เสียงแตรนั้นดังซ้ำ พร้อมเสียงเร่งเครื่องยนต์แสบแก้วหู และดวงไฟสองดวงนั้นก็แยกกันแซงผมขึ้นไปคันละข้างอย่างเร็ว
โอ้ย! ไอ้เด็กแว้นเด็กเวรพวกนี้ นึกว่าเท่ห์ตายละ ไอ้พวกกวนเมือง
ผมสบถตามออกไปด้วยความเคือง แถมบีบแตรตามหลังเจ้าพวกนั้นไปโทษฐานที่ทำให้ผมตกใจ นึกในใจว่ามันจะใช่พวกของนพลูกชายของเพื่อนผมหรือไม่ คิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ถ้าลูกผมมาทำตัวอย่างนี้ ผมคงจับล่ามโซ่ไว้จนกว่าจะเข็ดหลาบเป็นแน่ ผมไม่เคยคิดเลยว่า การตกใจในครั้งนั้นมันจะเป็นปฐมบทของความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น
ผมนึกว่าเหตุการณ์ต่างๆ จะสงบเหมือนเดิม แต่ผมคิดผิด เมื่ออยู่ๆ ดวงไฟสองดวงก็กลับมาไล่ตามท้ายรถผมอีกครั้ง เสียงเครื่องยนต์ดัดแปลงดังขึ้นจนแสบแก้วหู มอเตอร์ไซด์สองคันนั้นนั่นเอง ทั้งสองคันขับฉวัดเฉวียนปาดหน้าปาดหลังผมอย่างไม่ประสงค์ดี
เอาละวา นี่ผมกำลังโดนคุกคามจากเด็กแว้นสองคนหรือไงนะ แต่ผมคิดผิด เมื่อพบว่ายังมีดวงไฟจากรถมอเตอร์ไซค์อีกห้าคันไล่ตามมา ไม่แน่มันอาจจะมีปืนด้วยก็ได้ ผมพยายามมองคนขับมอเตอร์ไซด์ทั้งสองอย่างสังเกต ทั้งสองคนขับรถที่ถูกตกแต่งมาเพื่อใช้แข่งโดยเฉพาะ คนหนึ่งสวมเสื้อยีนส์สีซีด กางเกงยีนส์ขาดๆ ส่วนอีกคนใส่กางเกงหนังสีดำ เสื้อยืดสีดำ ทั้งสองใส่หมวกกันน็อกไว้
แต่น่าแปลก ทั้งที่ตรงนั้นมีไฟสว่างพอสมควร และผมก็เห็นรายละเอียดต่างๆ ได้ ใบหน้าของทั้งสองดูคุ้นเคยภายใต้หมวกกันน็อกนั้น ตอนแรกผมไม่ได้เอะใจอะไร แต่ทว่าไม่นานนักผมก็ได้รู้ว่าเพราะอะไรทั้งสองนั้นจึงเล่นงานรถของผมเอาเป็นเอาตาย
มอเตอร์ไซด์สองคันนั้น ยังคงขับปาดซ้ายปาดขวาอย่างน่าหวาดเสียว ผมเองพยายามประคองรถไม่ให้ลงข้างทางไปเสียก่อน สายตาก็พยายามหาว่าแถวนี้พอจะมีปั๊มหรือป้อมตำรวจที่พอจะช่วยผมบ้างได้หรือไม่ แต่ยังไม่ทันที่สมองจะสั่งการอันใด
เปรี๊ยะ!!!! เพล้งงงง!!!!
เสียงกระจกหน้ารถของผมแตกออก เศษกระจกปลิวกระจายจากฝีมือตีไม้เบสบอลของหนึ่งในสองนั้นในทันที ผมตกใจเหยียบเบรกกะทันหัน ทำให้รถหมุนคว้างอยู่กลางถนน เดชะบุญที่ตอนนั้นไม่มีรถผ่านมา แต่เจ้ารถมอเตอร์ไซด์นั่นยังไม่ปล่อยผม มันทั้งคู่ยังมาขับวนเวียนเอาไม้มาตีที่รถของผมอย่างบ้าคลั่งจนรถของผมบุบไปหลายแห่ง
ฮ่าๆๆๆเสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้นอย่างอย่างชอบใจ แล้วอยู่ๆ มันทั้งสองคนก็ขับรถมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม แล้วค่อยๆ ถอดหมวกกันน็อกออก และสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ทำเอาผมช็อก เมื่อภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าผมขณะนี้ ชายคนที่ใส่เสื้อยีนส์กำลังยืนถือหมวกกันน็อกอยู่ มันคือนพนั่นเอง และที่สำคัญเขาประกาศตัวออกมาเลยว่าเขาต้องการจะทำร้ายผม
ไง...ไอ้แก่ เสือกเรื่องของคนอื่นดีนัก อยากจะจับกูล่ามโซ่เหรอ มาสิ...มีปัญญาหรือเปล่า?” นพถามอย่างเย้ยหยัน
มึงไม่รอดหรอกวันนี้...กูจะเอามึงให้ตายเลย ไอ้แก่จอมเสือก!
ก่อนที่มันจะเริ่มขับรถวนเวียนรอบๆ ผมอีกครั้ง นาทีนั้นผมบอกกับตัวเองทันทีเลยว่า
หากอยู่อย่างนี้ผมต้องตายแน่
ผมจึงตัดสินใจเหยียบรถเดินหน้าอย่างเร็ว เพื่อเร่งหนีรถปีศาจในคราบมนุษย์พวกนั้น ผมพยายามตั้งสตินึกถึงพระพุทธคุณเข้าไว้ เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ผม ต้องเผชิญหน้าอยู่นี้ไม่ใช่เพียงการคิดทำร้ายร่างกาย แต่มันเป็นการคิดจะเอาชีวิตชัดๆ ผมคิดแล้วเร่งความเร็วเพื่อคิดจะเร่งหนีให้ทัน แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อแก๊งค์เด็กนรกนั่นยังตามพัวพันกับผมไม่หยุด
โว้ยยย...จะเอายังไงกันวะ
จากความกลัวเริ่มเป็นความโกธร โทสจริตเริ่มครอบงำ ในขณะที่เสียงหัวเราะของเจ้าพวกนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางมีแต่ต้นไม้และความมืดมิด ในนาทีนั้นผมรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก ทำไมไม่มีใครสนใจผมเลย ทำไมผมต้องเผชิญกับเหตุการณ์เลวร้ายตามลำพัง เสมือนโลกนี้มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่ต้องจมอยู่กับความมืดมิด แต่แล้วอยู่ๆ จิตใจผมก็กลับรู้สึกบ้าบิ่นจนยากจะควบคุม
ชนมัน...ชนพวกมันให้แหลก
เสียงหนึ่งก้องกังวานอยู่ในหัว ขณะที่รถมอเตอร์ไซด์พวกนั้นวิ่งนำหน้าผม
ชนเลย...ชนเลย...
เสียงในหัวดังขึ้นอีก ในขณะที่รถของผม เข้าใกล้พวกเด็กแว้นมากขึ้นทุกที
ชนแน่...ชนฉับพลันนั้น ผมก็นึกถึงหน้าลูกเมียขึ้นมา ทำให้ผมหักรถหลบกะทันหัน
เอี๊ยดดดด!!!!! อีกครั้งที่รถของผมต้องหมุนคว้างด้วยแรงเบรกกะทันหัน ก่อนจะจอดนิ่งอย่างสงบ ทั้งที่เหลืออีกแค่นิ้วเดียวก็จะตกลงข้างทาง ผมนั่งใจสั่นในรถอยู่นานทำอะไรไม่ถูก ตกลงเมื่อกี๊เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมนั่งอยู่ไม่นานก็มีคนหลายคนวิ่งมาที่รถ
พี่...เป็นอะไรหรือเปล่าพี่?”
หลายเสียงหลายคนพากันถามเซ็งแซ่ ผมเริ่มตั้งสติและมองไปรอบๆ ก็ทำให้ผมเกิดความงุนงงขึ้นอีกครั้ง เมื่อผมพบว่าห่างออกไปไม่มากนักมีปั๊มน้ำมันตั้งอยู่ ทั้งที่เมื่อครู่ผมไม่เห็นแม้แต่นิด รอบตัวผมดูมืดดำไปหมด
เกิดอะไรขึ้น?” ผมถามเสียงแห้งผาก
ไอ้พวกเด็กแว้น...พี่เกือบชนกับพวกนั้นแล้วใครคนหนึ่งตอบมา
นี่ยังดีนะที่หักหลบทัน...แถวนี้ยิ่งเกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ ด้วยจากไอ้พวกเด็กนรกพวกนั้นทั้งนั้นแหละส่วนใหญ่
ขาดคำนั้นก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ และเมื่อเห็นผมไม่เป็นอะไร ต่างก็แยกย้ายกันไปทำงาน เพราะคนที่มามุงส่วนใหญ่ก็เป็นพนักงานของปั๊ม และพนักงานร้านสะดวกซื้อที่เปิดอยู่ด้วยกัน จะมีคนขับรถบรรทุกที่มาจอดงีบอยู่บ้างประปราย
ผมตัดสินใจขับรถเข้าไปจอดในปั๊ม และสำรวจตรวจตราความเสียหาย อย่างที่กะไว้ว่าสภาพรถคงยับเยินจากการถูกไม้เบสบอลตีกระหน่ำ แล้วก็ไม่พลาด ผมทอดถอนใจมองสภาพรถอย่างหมดอาลัยตายอยาก หมดกันอุปกรณ์ทำมาหากินของผม
คืนนั้นผมตัดสินใจพักรถอยู่ที่ปั๊มแห่งนั้นจนเช้า เพราะผมไม่อยากเสี่ยงกับที่จะเจอกับพวกเด็กแว้นพวกนั้นอีก เมื่อเช้าแล้วผมตัดสินใจกลับไปที่บ้านของดำเพื่อบอกเรื่องที่นพทำไว้กับผมเมื่อคืน
เป็นอย่างที่คิดไว้ นพไม่เชื่อเรื่องที่ผมบอกแถมยังปฏิเสธที่จะช่วยเหลือ ผมไม่เคยโกรธเพื่อนเท่านี้มาก่อน
ระวังไว้นะไอ้ดำ...เวรกรรมมันจะสนองแก
ผมบอกแล้วออกมาจากที่นั่นทันที จากนั้นทั้งผมและดำก็ขาดการติดต่อกันไป
ถัดจากนั้นสามปี ผมได้มีโอกาสพบดำอีกครั้งในสภาพดำผอมอมทุกข์ผิดจากดำคนเดิมเป็นอย่างมาก ด้วยเวลาที่ผ่านมานานมากทำให้ความโกรธเคืองในใจผมลดลงไป และเข้าไปทักทายดำ เมื่อเห็นผมดำพูดอยู่แต่ว่า
เราขอโทษนะเพื่อน...เราเชื่อแล้วว่าเวรกรรมมีจริง
เขาบอก เมื่อผมถามถึงลูกๆ ของเขา เขายิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
นาวตายแล้วเขาบอก ผมถึงกับตกใจ
ทำไมล่ะ?” ผมถามถึงสาเหตุ
ฮือ...ไอ้นพมันขับชนน้องสาวตัวเอง เพราะคิดว่าเป็นเด็กคนอื่น แกได้ยินมั้ย...ไอ้นพมันขับรถชนน้องสาวตัวเอง
ผมอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่นึกว่าดำจะต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายขนาดนี้กัน
แล้วนพล่ะ
ไอ้นพมันรับไม่ได้ที่มันชนน้องสาวตัวเองตาย มันเสียสติไปแล้ว...มันบ้าไปแล้ว...ตอนนี้มันอยู่ในโรงพยาบาลบ้า ได้ยินมั้ย...ไอ้นพมันบ้าไปแล้ว...
เขาบอกพร้อมกับร้องไห้ออกมา ผมเฝ้ามองดำอย่างเศร้าใจกับเสียงที่เขาพร่ำบอกซ้ำๆ

เวรกรรมมันมีจริงๆ ฉันเชื่อแล้ว...ว่าเวรกรรมมันมีจริงๆ เชื่อแล้ว...เชื่อแล้วจริงๆ


วันจันทร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2560

ปล้นเงินบุญ

ปล้นเงินบุญ

ฉันกับสามีได้แต่งงานใช้ชีวิตด้วยกันมาร่วม 10 ปีแล้ว ฉันเป็นคนกรุงเทพบ้านอยู่แถวประชาชื่นซึ่งสามีของฉันเป็นคนจังหวัดพิจิตรและพบกันมาเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา ตอนนั้นสามีได้เข้ามาทำงานในกรุงเทพใหม่ๆหลังจากที่เราได้คบหาดูใจกันเร็วราว 2 ปีก็ได้ตกลงแต่งงานกันโดยที่สามีของฉันจะย้ายเข้ามาอยู่กับฉันที่กรุงเทพ
ครอบครัวของฉันค่อนข้างจะมีฐานะ หลังแต่งงานพ่อของฉันก็ได้มอบเงินให้ก้อนหนึ่งสำหรับเริ่มต้นชีวิตใหม่ฉันกับสามีจึงได้นำเงินก้อนนั้นไปซื้อตึก 3 ชั้นสำหรับอยู่อาศัย ชั้นล่างได้เปิดเป็นอู่ซ่อมรถเล็กๆ สามีฉันมีความรู้ด้านซ่อมเครื่องยนต์ส่วนตัวของฉันเองทำงานบริษัท
หลังจากที่ฉันคลอดลูกคนแรกฉันก็ได้ลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกอยู่กับบ้านเฉยๆใน ช่วงแรกกิจการของเราก็เจริญก้าวหน้าดีพอมีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ กระทั่งมาเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว สามีของฉันเริ่มใช้ชีวิตออกนอกลู่นอกทาง เที่ยวเตร่เด็กนักร้อง เล่นพนันบอล ไม่ค่อยดูแลกิจการเหมือนเคย ฉันก็เตือน ทำให้ทะเลาะเบาะแว้งกัน จนกระทั่งกิจการที่เจริญรุ่งเรืองก็เริ่มประสบกับปัญหาขาดทุนเนื่องจากลูกค้าได้ทยอยหายหน้าไป
ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะว่าสามีของฉันขาดความรับผิดชอบ นัดไม่เป็นนัด แล้วก็ดูแลการซ่อมรถแบบไม่ค่อยเอาใจใส่เหมือนเดิม จึงทำให้ความไว้วางใจของลูกค้าลดลง ประจวบกับย่านนั้นก็มีอู่ซ่อมรถใหม่ๆเกิดขึ้นอีกหลายแห่งจึงได้กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของร้านสามีฉัน
จนเมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมาศูนย์ซ่อมรถของสามีฉันก็เกิดปัญหามาก นอกจากไม่มีกำไรแล้วก็ยังมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นอีก อู่เราจะเป็นแหล่งรายได้เดียวของครอบครัวเราที่สำคัญหนี้สินที่เพิ่มขึ้นทุกวันจากการเสียพนันของสามีฉันเอง เมื่อปัญหาการเงินรุมเร้ามากๆก็เกิดความกลัดกลุ้ม ในตอนนั้นสามีก็เริ่มกลับตัวกลับใจเลิกเล่นบอลเลิกเที่ยวกลางคืนแล้วก็หันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำงานอู่เหมือนเดิม
แต่ก็อย่างว่า การจะได้ศรัทธาของคนกลับคืนมาดังเดิมมันต้องใช้เวลาพิสูจน์ ฉะนั้น ในช่วงเวลาสั้นๆของการกลับตัวใหม่มันยังไม่เห็นผลอะไร ซ้ำร้ายมันก็ยังไม่สามารถคลี่คลายปัญหาหนี้สินที่สะสมเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที พูดอย่างไม่อายก็คือในตอนนั้นเรากลุ้มมาก ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรแล้ว
เมื่อไม่มีที่พึ่งอย่างอื่นเราจึงตัดสินใจไปพึ่งหมอดู เพื่อนๆของฉันได้แนะนำให้ไปหามาดูให้เขาเช็คดวงว่าช่วงนี้เป็นอย่างไรทำไมทำอะไรถึงไม่ดีไปหมดหรือว่าพูดตามประสาคนเชื่อดวงก็ต้องบอกว่าในช่วงนี้ดวงตก จะแก้ไขได้อย่างไร ซึ่งหมอดูเขาก็สามารถแนะนำให้ได้ ฉันได้นำเรื่องนี้มาปรึกษาสามีความจริงฉันก็ไม่เชื่อเรื่องหมอดูนะ แล้วก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องดวงสักเท่าไร
แต่ในเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่านี้ก็เลยอยากจะลองดูบ้างเผื่อจะช่วยให้สบายใจขึ้นมาบ้าง พอสามีฉันฟังแล้วก็เห็นดีด้วย แล้วเราก็ไปดูดวงกัน การดูดวงครั้งนั้นทำให้เราสบายใจขึ้นมาได้มากจริงๆแม้ว่าจะไม่ค่อยเชื่อคำทำนายทายทักนัก คือหมอดูทักได้ทักว่าในช่วงนี้สามีของฉันไม่ค่อยดีมีราหูเข้าแทรก ความจริงเจ้าราหูนี่มันเข้ามาตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้วก็คือตั้งแต่สามีของฉันเริ่มออกนอกลู่นอกทางนั่นแหละ
ตอนนี้ราหูกำลังจะออกหมายถึงว่าราหูกำลังจะโคจรออกจากชะตาชีวิตของสามีฉันในอีกไม่ช้า นั่นก็หมายถึงว่าสามีของฉันจะกลับมารุ่งเรืองเหมือนเดิมอีกครั้ง แต่ก่อนที่สามีฉันจะผ่านช่วงนี้ไปได้ก็จะต้องพบกับเรื่องร้ายๆถึงเลือดตกยางออกเสียก่อน เมื่อฟังแล้วฉันก็ออกจะตกใจอยู่เหมือนกันจึงได้ถามวิธีแก้ไข หมอดูก็แนะนำว่าให้ไปทำบุญใหญ่สักครั้งหรือว่าจะให้ดีก็ควรจะถวายพระประธานให้กับวัดใดวัดหนึ่งสักองค์ พร้อมกับถือศีลกินเจสัก 1 อาทิตย์
"ถ้าคุณสองคนทำได้อย่างที่ผมพูดนี่นะทุกอย่างจะดีขึ้น พร้อมกันนั้นคุณทั้งสองคนก็จะได้ลาภก้อนใหญ่เป็นรางวัลแต่มันอยู่ที่ว่าคุณจะสามารถรักษาเอาไว้ได้หรือไม่เท่านั้น ไปแก้ดวงเสริมดวงด้วยการทำบุญตามที่บอกรับรองว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่นแม้จะประสบอุบัติเหตุถึงเลือดตกยางออกมันก็จะไม่ร้ายแรงอย่างที่ควรจะเป็นเพราะว่าผลบุญจะมาช่วยรองรับเอาไว้"
หมอดูได้บอกกับฉันและสามีเช่นนั้น หลังจากที่ฉันได้ฟังคำทำนายของหมอดูแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจมันเหมือนกับว่ามีอะไรมาถ่วงน้ำหนักอยู่ในใจ ฉันได้ถามสามีว่าสามีของฉันเชื่อหรือไม่เขากลับหัวเราะบอกว่าไม่เชื่อ แต่ก็เอาเถอะเพื่อความสบายใจก็จะพยายามทำบุญอย่างที่หมอดูทัก จากนั้นเราสองคนก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กันอีก
หลังจากที่ไปดูดวงมาได้ประมาณ 2 เดือน ตอนนั้นสถานการณ์งานของครอบครัวเราก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้นนักแต่ก็เริ่มมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอู่เพิ่มมากขึ้นจึงทำให้มีเงินหมุนเวียนมาใช้ในครอบครัวบ้างและในช่วงนั้นก็ตรงกับวันปีใหม่
ในปีนั้นสามีได้ชวนฉันกลับไปเที่ยวบ้านเขาที่พิจิตรฉันก็เห็นว่าไม่ได้กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ของสามีนานแล้วจึงได้ตอบตกลงที่จะไปด้วยกัน
ระหว่างที่อยู่จังหวัดพิจิตรสามีก็พาฉันตระเวนเที่ยวตามบ้านญาติๆของเขาที่อยู่อำเภอที่ใกล้และในวันนั้นเองเราก็บังเอิญได้ไปเจอวัดของหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งกำลังก่อสร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่อยู่ วัดนี้ยังไม่เจริญนักคือมีแต่ดินโล่งๆมีกุฏิพระอยู่ 1 หลังกับศาลาหลังเก่าที่สร้างด้วยไม้เก่าจนจะพังอยู่หลังหนึ่งและศาลาหลังใหม่ที่กำลังก่อสร้างได้เพียงครึ่งเดียวโดยไม่มีเมรุเผาศพ วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ของหมู่บ้านถ้านับอายุวัดก็เกือบเต็ม 100 ปีแล้ว
พอเห็นวัดเท่านั้นสามีของฉันก็เกิดความคิดว่า ถ้าคิดจะทำบุญใหญ่ก็น่าจะทำกับวัดนี้เป็นดีที่สุด ในตอนนั้นฉันยังไม่ได้คิดถึงเรื่องทำบุญทำทานอะไรนะ มีเพียงสังเวชว่าทำไมที่นี่ถึงได้แร้นแค้นแล้วก็กันดารนัก ขนาดศาลาวัดยังไม่มีจะให้คนขึ้นไปนั่งทำบุญและอีกนัยหนึ่งก็นึกว่าที่นี่มันช่างเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนเสียจริงๆไม่เหมือนกรุงเทพที่ฉันเกิดเอาเสียเลย ถึงแม้ว่าฉันจะแต่งงานกับคนพิจิตรแต่ก็ได้เดินทางมาเที่ยวบ้านสามีน้อยครั้งมากโดยเฉพาะบ้านญาติคนนี้ถือว่ามาเป็นครั้งแรกเท่านั้น
ซึ่งสามีของฉันบอกว่าจะมาทำบุญที่นี่ก็ยังแปลกใจเพราะว่าร้อยวันพันปีสามีไม่เคยพูดถึงเรื่องการทำบุญอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลย สามีก็เลยเท้าความถึงคำทำนายของหมอดูที่ให้ทำบุญใหญ่ก่อนเดือนเมษายนปีนี้เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ ฉันจึงถึงบางอ้อ ในตอนนั้นฉันยังหัวเราะล้อเลียนสามีเลยว่า
"ไหนคุณว่าไม่เชื่อไงที่แท้ก็คิดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลาใช่ไหมล่ะ"
ตกลงใจว่าเราจะร่วมกันทำบุญที่วัดแห่งนี้ สามีของฉันก็ไปหาหลวงพ่อ บอกท่านว่าจะขอเอาผ้าป่ามาทอดที่วัดสักกองแล้วก็จะถวายพระประธานให้วัดด้วยสักองค์ หลวงพ่อท่านดีใจมาก
"ก็ดีสิโยม ทางวัดนะยังขาดปัจจัยสมทบในการปลูกสร้างศาลาการเปรียญให้แล้วเสร็จ เมื่อโยมคิดอย่างนั้นไปอาตมาก็ขออนุโมทนาบุญด้วยนะ"
หลวงพ่อองค์นั้นท่านให้ศีลให้พรอีกยกใหญ่พร้อมกับให้เด็กวัดไปตามกรรมการวัดมารับฟังแล้วก็ร่วมรับรู้การจะมาทอดผ้าป่าของสามีฉันพร้อมทั้งเตรียมการต้อนรับเมื่อถึงวันงานซึ่งจากการพูดคุยกันก็ได้ตกลงกันว่า สามีของฉันเขาจะจัดหาผ้าป่ากองหนึ่งมีจำนวนเงินอย่างน้อย 5 หมื่นบาทพร้อมกับพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระประธานมาทอดที่วัดแห่งนี้ ในวันที่ 11 เมษายนปี 2544 เพื่อที่จะได้ถือโอกาสเฉลิมฉลองผ้าป่าไปพร้อมกับเทศกาลสงกรานต์ ไปพร้อมกันเลยทีเดียว
หลังจากนั้นสามีของฉันก็ได้เที่ยวบอกบุญหาคณะกรรมการผ้าป่า เขาได้มาจำนวนหนึ่งและได้จัดการพิมพ์ซองแล้วก็กลับไปขอตราประทับของวัดมาประทับซองก่อนที่จะแจกจ่ายไปยังผู้ประสงค์ที่จะร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่า เวลานั้นฉันถึงได้มั่นใจว่าสามีของฉันตั้งใจจะทำบุญใหญ่จริงๆคือก่อนหน้านั้นฉันก็ยังไม่ค่อยเชื่อสามีเท่าไรว่าเขาจะทำ ฉันเห็นสามีเอาจริงเอาจังก็เลยตกลงใจที่จะลงมือช่วยด้วยการนำซองไปแจกจ่ายให้กับญาติๆเพื่อนฝูงและก็คนที่รู้จักอีกแรง จนกระทั่งประมาณปลายเดือนมีนาคมเราก็ได้รวบรวมซองผ้าป่าที่แจกจ่ายไปเกือบทั้งหมดเตรียมพร้อมที่จะเดินทางไปทำพิธีที่วัดตามที่นัดหมายกันไว้คือวันที่ 11 เมษายน 2544 ซึ่งก็ได้ข่าวว่าญาติๆของสามีรวมทั้งคนในหมู่บ้านที่อยู่ทางโน้นก็ได้เตรียมการต้อนรับอย่างดี เนื่องจากนานๆจะมีผ้าป่าของวัดสักครั้ง
ฉันเองก็รู้สึกอิ่มเอิบไปกับผลบุญที่ร่วมกันสร้างกับสามีในครั้งนั้นจนกระทั่ง ใกล้ถึงวันที่จะเดินทางเมื่อวันที่ 6 เมษายนระหว่างที่สามีของฉันเดินทางไปเก็บซองผ้าป่างวดสุดท้าย ระหว่างทางกลับบ้านก็ได้เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น คือสามีของฉันได้ขับรถไปชนกับเสาไฟฟ้าเนื่องจากหักหลบรถมอเตอร์ไซค์ที่ขับปาดหน้า เขาได้รับบาดเจ็บ สามีของฉันหัวแตกเล็กน้อย แขนหักต้องเข้าเฝือกแต่ว่าอาการอื่นๆก็ไม่เป็นอะไร
แบบว่ายังโชคดีมากเพราะว่าสภาพรถที่เห็นพังยับเยินใครๆต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คนขับไม่น่ารอด เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ถึงจะทำให้สามีของฉันไม่สามารถที่จะนำผ้าป่าไปทอดที่วัดตามกำหนดได้เนื่องจากออกจากโรงพยาบาลไม่ทัน ฉันจึงได้แจ้งเรื่องไปที่วัด พวกเขาแสดงความเสียใจกับฉันที่สามีจะต้องประสบเคราะห์กรรม แต่ก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรที่ไม่สามารถนำผ้าป่าไปทอดตามกำหนดได้ เพียงแต่บอกว่ามันเป็นเรื่องสุดวิสัยก็ไม่ว่าอะไรเอาไว้ให้หายดีเมื่อไหร่แล้วค่อยนำเงินที่ได้ไปทอดผ้าป่าในภายหลังก็ได้
กว่าที่สามีของฉันจะหายเป็นปกติได้ก็ใช้เวลาร่วมเดือน งานการที่อู่ก็ไม่ได้ทำเพราะไม่มีคนดูแล ตัวฉันเองก็ไม่เป็นภาษาเอาเสียเลยช่วงนั้นจึงถือเป็นช่วงวิกฤตครั้งใหญ่อีกครั้งของเราเลยก็ว่าได้เพราะนอกจากจะไม่มีเงินใช้จ่ายภายในบ้านแล้วก็ยังไม่มีเงินไปจ่ายค่าหมอค่ายาที่โรงพยาบาลอีกในตอนนั้นสามีของฉันได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนซึ่งค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ฉันได้ปรึกษากับสามีว่าจะแก้ปัญหานี้ได้ยังไงสามีก็ได้แต่นิ่งอึ้งตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไง วันต่อมาก่อนที่สามีของฉันจะออกจากโรงพยาบาลเขาก็ได้ถามฉันว่า
"ซองผ้าป่านั้นยังอยู่หรือเปล่า"
ฉันก็ได้ตอบเขาไปว่า "ฉันเก็บรักษามันไว้เป็นอย่างดีเลย"
"ไปเอามาให้ผมดูหน่อยนะ"ฉันคิดว่าตัวเขาคงอยากจะชื่นชมกับผลบุญที่เขาได้สร้างในครั้งนี้และฉันก็คิดว่าสามีของฉันคงจะเครียดมากเนื่องจากไม่มีเงินไปจ่ายค่ายาเขาคงอยากหากำลังใจฉันจึงได้กลับไปนำซองผ้าป่าทั้งหมดมาให้สามีดู สามีได้ชวนฉันแกะซองนับว่าเงินผ้าป่าได้ทั้งหมดเท่าไร ฉันก็ทำตาม เราได้แกะซองผ้าป่านับกันในห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาลนั่นเอง ทั้งหมดแล้วได้เงินทั้งสิ้นร่วมแสนบาทขาดอยู่เพียงไม่ถึงร้อยเท่านั้น เย็นวันนั้นฉันก็กลับบ้านพร้อมกับเงินผ้าป่าที่นับได้ ฉันไม่ได้นอนเฝ้าสามีเพราะที่บ้านไม่มีใครอยู่กับลูกอีก 3 คนโดยเฉพาะคนเล็กก็อายุเพิ่งจะขวบเท่านั้นและก่อนกลับฉันก็ยังพูดกับสามีเลยว่า
"พรุ่งนี้จะเอาเงินที่ไหนจ่ายค่าโรงพยาบาล"
สามีก็พูดยิ้มๆ
"ไม่ต้องห่วงนะเราเตรียมไว้แล้ว"
ฉันมารู้ภายหลังว่าสามีของฉันเขาได้แอบเอาเงินผ้าป่าออกไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลในครั้งนั้น ตอนแรกฉันก็ต่อว่าเขาว่ามันเป็นบาปติดตัว เขาก็แก้ตัวว่าเดี๋ยวเขาจะหามาใช้คืนให้ครบตามจำนวนที่ออกไป
"มันไม่บาปหรอก-อ้อย-เราจำเป็นต้องเอาไปใช้ก่อนแล้วเราก็ค่อยหาคืนทีหลังมันคงไม่ผิดอะไรหรอกนะ"
หลังจากที่สามีของฉันออกจากโรงพยาบาลได้ 5 เดือน ฉันเห็นเขาทำเฉยกับการที่จะเอาเงินไปคืนวัด หมายถึงเอาผ้าป่าไปทอดตามสัญญาฉันจึงทวงถาม เขาก็บอกฉันว่า
"ผมขอเวลาอีกสักพักนะ รู้ไหมล่ะตอนนี้น้ำขึ้นต้องรีบตัก"
งานอู่เยอะมากและก็มีลูกค้ามาใช้บริการไม่ได้ขาดจนเราสามารถเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ฉันจึงไม่ได้ว่าอะไรเขา ผ่านไปจนถึงปีใหม่อีกครั้งคือปีพุทธศักราช 2545 ซึ่งช่วงนั้นสามีก็ได้นัดหมายกับทางวัดว่าจะนำเงินไปทอดผ้าป่าตามที่สัญญา ก่อนถึงปีใหม่ประมาณอาทิตย์หนึ่งสามีของฉันก็ได้ขอเดินทางไปบ้านที่พิจิตรส่วนตัวฉันเองก็มีกำหนดที่จะตามไปสมทบทีหลังเพราะไม่อยากให้ลูกๆหยุดโรงเรียนหลายวันและที่สามีต้องขึ้นไปก่อนก็เนื่องจากว่าญาติของสามีได้บอกที่จะยกที่ดินให้แปลงหนึ่ง ที่ดินผืนนั้นเขาใช้ทำนาต่อมาได้ขุดบ่อเลี้ยงปลาแล้วก็บังเอิญเจ้าของที่ดินก็คือน้องชายแท้ๆได้เสียชีวิตลงน้องของสามีไม่มีภรรยาแล้วก็ลูก พ่อแม่ของเขาจึงบอกที่จะยกที่ทั้งหมดให้สามีของฉันสามีฉันจึงขึ้นไปจัดการรับโอนอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจนเรียบร้อย ก่อนสามีไปฉันยังพูดทีเล่นทีจริงกับสามีว่า
"หมอดูที่เคยดูดวงให้คุณน่ะเค้าดูแม่นจริงๆเลยนะนี่ขนาดยังไม่ได้นำเงินไปทำบุญที่วัดยังได้รับกลับมามากขนาดนี้เนี่ยถ้าเราทำบุญเสร็จหมายถึงว่าเราถวายผ้าป่าแล้วก็ถวายพระประธานอย่างที่เราได้พูดไปกับหลวงพ่อจริงๆฉันว่านะเผลอๆอาจจะมีใครยกกิจการให้เราอีกก็ได้นะคุณ แล้วพระประธานที่ว่าคุณจะนำไปถวาย คุณไปเช่าบูชาไปแล้วหรือยังล่ะ"
"ผมก็กะว่าจะไปบูชาเอาแถวๆบ้านที่พิจิตร เราจะได้ไม่ต้องขนไกลไงล่ะ"
ฉันรู้สึกปลื้มปีติไปกับสามีด้วย พอถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2544 ฉันก็ได้เดินทางไปสมทบกับสามีที่พิจิตรแปลว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันปีใหม่ที่ 1 มกราคม 2545 แล้วก็เป็นวันกำหนดที่จะไปทอดผ้าป่ากันที่วัด ตัวฉันเองก็ไม่ได้นัดหมายใครให้ไปร่วมทำบุญเหมือนคราวก่อนเพราะเห็นว่าเรื่องราวมันก็ล่วงเลยมาเป็นปีแล้ว คนอื่นๆเขาก็คงคิดว่าเราได้เอาเงินไปทำบุญที่วัดเรียบร้อยแล้ว ขนาดญาติๆฉันถาม ฉันจะบอกเขาว่าจะสามีได้นำเงินไปถวายวัดหมดแล้วเพราะไม่อยากให้พวกเขาคิดมาก ไหนๆพวกเขาก็ตั้งใจทำบุญกันแล้ว
พอไปถึงบ้านพ่อแม่ของสามีฉันกลับไม่เห็นสามีว่าจะมีทีท่าว่าจะจัดเตรียมขบวนพระป่าไปทอดแต่อย่างใด คนอื่นเขาก็เฉยๆเหมือนกับไม่รู้ว่าจะมีขบวนผ้าป่า พอฉันเอ่ยถามสามีก็บอกฉันว่า
"ผมก็ไม่ได้บอกใครหรอกนะ เราไปกันง่ายๆก็ได้จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองอะไรเมื่อครั้งก่อนน่ะทางวัดก็ต้องหมดเปลืองจัดงานไปทีหนึ่งแล้วนี่นา"
ฉันได้ฟังก็ดีเหมือนกันแทนที่จะเอาเงินนั้นไปหมดกับค่างานค่าอาหารเพื่อเป็นการต้อนรับ จะได้เก็บไว้เป็นทุนสร้างศาลาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่พอถึงวันที่ 1 มกราคม 2545 ฉันก็ตื่นแต่เช้าเตรียมตัวรอสามีปรากฏว่าเขาเป็นเมาฉลองปีใหม่กับพรรคพวกตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่กลับ จนสายจนค่ำสามีก็ยังไม่กลับฉันรู้สึกหงุดหงิดอารมณ์เสียมากและก็โกรธสามี ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นคนเลวร้ายได้ถึงเพียงนี้
หลังจากเจอหน้าเขาในวันต่อมาฉันก็ต่อว่าต่อขานเขาพร้อมกับยื่นคำขาดให้เขาเอาเงินไปทำบุญให้เรียบร้อยเรื่องจะได้จบๆไปสักที แล้วฉันก็ต้องโกรธสามีเป็นคำรบสองเพราะว่าสามีของฉันได้เอาเงินทำบุญส่วนหนึ่งไปกินเที่ยวระหว่างที่มาอยู่นี่ 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา ซ้ำร้ายเขายังเอาเงินทั้งหมดไปเล่นการพนันหมดไปจำนวนมาก เป็นอันว่าสามีของฉันผิดนัดกับทางวัดที่ว่าจะเอาเงินไปทำบุญอีกเป็นครั้งที่ 2
ฉันโกรธสามีมากจึงได้พาลูกๆหนีกลับกรุงเทพก่อนโดยไม่รอเขา ต่อมาฉันก็ได้รับข่าวร้ายของสามีอีกครั้งคือระหว่างที่ขับรถกลับกรุงเทพสามีได้ขับรถไปชนท้ายรถพ่วงได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกซี่โครงหักไหปลาร้าหักหัวแตกถูกนำส่งโรงพยาบาลที่จังหวัดนครสวรรค์ จากนั้นฉันก็ทำเรื่องย้ายตัวเขามารักษาตัวที่กรุงเทพเพื่อสะดวกในการดูแล สามีของฉันต้องนอนรักษาตัวอยู่นานกว่าจะหายเป็นปกติ แถมยังต้องนำเงินทำบุญส่วนที่เหลือมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าเสียหายของคู่กรณีที่ไปชนเขาจนกระทั่งเงินหมด
หลังจากสามีของฉันหายแล้วเขาก็ต้องปิดอู่รถเนื่องจากไม่มีเงินดำเนินการต่อไป เขากลับไปเลี้ยงตะพาบ เลี้ยงปลาอยู่ที่จังหวัดพิจิตร แล้วก็กลับไปทำสวนผลไม้แบบว่ากึ่งๆไร่นาสวนผสม กิจการของสามีฉันเดินหน้าไปด้วยดีฉันจึงได้บอกสามีฉันว่าให้เขารวบรวมเงินไปคืนทั้งวัด เพราะมันก็เนิ่นนานมาจะ 2 ปีแล้ว พอฉันพูดเขาก็ทำท่าหงุดหงิดที่ฉันไม่เลิกพูดเรื่องนี้สักที ฉันเองดูท่าทางของเขาแล้วคิดเอาเองว่าเขาคงไม่อยากเอาเงินไปคืนวัดอีกแล้วเพราะเงินจำนวนแสนในเวลานั้นถือว่ามากโขอยู่และอีกอย่าง ทุกอย่างมันก็ล่วงเลยมาตั้งปีกว่าแล้วคิดว่าคงไม่มีใครสนใจอีกทั้งทางวัดเองก็อาจจะลืมไปแล้วว่าสามีของฉันสัญญิงสัญญาอะไรไว้
แต่ว่าฉันไม่ยอม ฉันยืนยันว่าจะให้เขาเอาเงินไปคืนวัดให้ได้ ถึงคนอื่นไม่รู้ไม่คิดแต่เรารู้อยู่แก่ใจตลอดเวลา ระยะหลังฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่สามีฉันเกิดอุบัติเหตุแทบเอาชีวิตไม่รอดไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะว่าบาปกรรมที่ไปผิดสัญญากับพระ อมเงินทำบุญที่คนอื่นเขาตั้งใจทำไปใช้หรือเปล่า หลังจากที่คุยตกลงว่าให้สามีหาเงินไปคืนให้วัดโดยเร็วที่สุด
สามีของฉันตกลงว่าสงกรานต์ปี 2546 จะเอาเงินไปถวายวัดให้หมด ฉันไม่เชื่อใจจึงให้เขาเขียนจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่งส่งไปให้ที่วัด โดยเนื้อหานั้นได้ระบุว่าจะเอาผ้าป่าไปทอดที่วัดตามที่ได้สัญญาเอาไว้ในปี 2544 และตัวฉันเองก็เป็นคนจัดการพับใส่ซองแล้วก็เอาไปส่งกับมือตัวเอง เพื่อที่สามีจะได้ไม่แกล้งทำเป็นลืมอีก พอถึงกำหนดสามีฉันก็เอาอีกแล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเขาแล้ว และก็ดูเหมือนว่ากรรมกำลังจะตามมาทันอีกจนได้ เพราะว่าหลังจากสงกรานต์ในปีนั้นสามีของฉันก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปชนกับรถกระบะขาหักต้องใช้เหล็กดามเอาไว้จึงกลับมาเดินได้เหมือนเดิม ฉันจึงได้บอกกับสามีว่า
"เห็นไหมล่ะกรรมที่ทำไว้น่ะมันตามมาแล้วคุณยังไม่เชื่ออีกหรือไง"
สามีของฉันจึงสัญญาว่าภายในเดือนตุลาคม 2546 หลังจากขายข้าวแล้วก็ผลผลิตอื่นๆได้เขาจะรีบนำเงินทั้งหมดไปคืนวัด ฉันก็ขอให้เป็นจริงอย่างที่เขาพูด แต่พอถึงกำหนดเขาได้เงินมาจริงๆแทนที่สามีฉันจะนำเงินกลับไปคืนวัดอย่างที่ว่าเอาไว้เขากลับนำเงินทั้งหมดไปถอยรถกระบะคันใหม่มาขับอย่างสบายใจ ฉันโกรธมากพร้อมกับลั่นวาจาว่าจะไม่ขอยุ่งเรื่องนี้อีก อะไรจะเกิดก็ขอให้เขารับไปแต่ผู้เดียว หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้เจอหน้าสามีของฉันอีกเลย ฉันรู้ข่าวอีกทีหลังจากวันลอยกระทงที่ผ่านมา ญาติของเขาแจ้งมาว่า สามีของฉันได้ขับรถคันใหม่แหกโค้งตกลงไปในบ่อน้ำตายคารถในวันลอยกระทงนั้นเอง
คิดแล้วฉันได้แต่นั่งเสียใจ เศร้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไรได้อีกต่อไปแล้ว สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ในเวลานี้ ฉันจะต้องพยายามหาเงินให้ได้เท่ากับจำนวนที่มีผู้บริจาคทำบุญทอดผ้าป่า แล้วก็นำไปคืนให้ทางวัดเร็วที่สุด เพราะถึงอย่างไรฉันก็มีส่วนเกี่ยวข้องในกรรมครั้งนั้นอย่างแน่นอน....

จบ