วันจันทร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2560

ปล้นเงินบุญ

ปล้นเงินบุญ

ฉันกับสามีได้แต่งงานใช้ชีวิตด้วยกันมาร่วม 10 ปีแล้ว ฉันเป็นคนกรุงเทพบ้านอยู่แถวประชาชื่นซึ่งสามีของฉันเป็นคนจังหวัดพิจิตรและพบกันมาเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา ตอนนั้นสามีได้เข้ามาทำงานในกรุงเทพใหม่ๆหลังจากที่เราได้คบหาดูใจกันเร็วราว 2 ปีก็ได้ตกลงแต่งงานกันโดยที่สามีของฉันจะย้ายเข้ามาอยู่กับฉันที่กรุงเทพ
ครอบครัวของฉันค่อนข้างจะมีฐานะ หลังแต่งงานพ่อของฉันก็ได้มอบเงินให้ก้อนหนึ่งสำหรับเริ่มต้นชีวิตใหม่ฉันกับสามีจึงได้นำเงินก้อนนั้นไปซื้อตึก 3 ชั้นสำหรับอยู่อาศัย ชั้นล่างได้เปิดเป็นอู่ซ่อมรถเล็กๆ สามีฉันมีความรู้ด้านซ่อมเครื่องยนต์ส่วนตัวของฉันเองทำงานบริษัท
หลังจากที่ฉันคลอดลูกคนแรกฉันก็ได้ลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกอยู่กับบ้านเฉยๆใน ช่วงแรกกิจการของเราก็เจริญก้าวหน้าดีพอมีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ กระทั่งมาเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว สามีของฉันเริ่มใช้ชีวิตออกนอกลู่นอกทาง เที่ยวเตร่เด็กนักร้อง เล่นพนันบอล ไม่ค่อยดูแลกิจการเหมือนเคย ฉันก็เตือน ทำให้ทะเลาะเบาะแว้งกัน จนกระทั่งกิจการที่เจริญรุ่งเรืองก็เริ่มประสบกับปัญหาขาดทุนเนื่องจากลูกค้าได้ทยอยหายหน้าไป
ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะว่าสามีของฉันขาดความรับผิดชอบ นัดไม่เป็นนัด แล้วก็ดูแลการซ่อมรถแบบไม่ค่อยเอาใจใส่เหมือนเดิม จึงทำให้ความไว้วางใจของลูกค้าลดลง ประจวบกับย่านนั้นก็มีอู่ซ่อมรถใหม่ๆเกิดขึ้นอีกหลายแห่งจึงได้กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของร้านสามีฉัน
จนเมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมาศูนย์ซ่อมรถของสามีฉันก็เกิดปัญหามาก นอกจากไม่มีกำไรแล้วก็ยังมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นอีก อู่เราจะเป็นแหล่งรายได้เดียวของครอบครัวเราที่สำคัญหนี้สินที่เพิ่มขึ้นทุกวันจากการเสียพนันของสามีฉันเอง เมื่อปัญหาการเงินรุมเร้ามากๆก็เกิดความกลัดกลุ้ม ในตอนนั้นสามีก็เริ่มกลับตัวกลับใจเลิกเล่นบอลเลิกเที่ยวกลางคืนแล้วก็หันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำงานอู่เหมือนเดิม
แต่ก็อย่างว่า การจะได้ศรัทธาของคนกลับคืนมาดังเดิมมันต้องใช้เวลาพิสูจน์ ฉะนั้น ในช่วงเวลาสั้นๆของการกลับตัวใหม่มันยังไม่เห็นผลอะไร ซ้ำร้ายมันก็ยังไม่สามารถคลี่คลายปัญหาหนี้สินที่สะสมเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที พูดอย่างไม่อายก็คือในตอนนั้นเรากลุ้มมาก ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรแล้ว
เมื่อไม่มีที่พึ่งอย่างอื่นเราจึงตัดสินใจไปพึ่งหมอดู เพื่อนๆของฉันได้แนะนำให้ไปหามาดูให้เขาเช็คดวงว่าช่วงนี้เป็นอย่างไรทำไมทำอะไรถึงไม่ดีไปหมดหรือว่าพูดตามประสาคนเชื่อดวงก็ต้องบอกว่าในช่วงนี้ดวงตก จะแก้ไขได้อย่างไร ซึ่งหมอดูเขาก็สามารถแนะนำให้ได้ ฉันได้นำเรื่องนี้มาปรึกษาสามีความจริงฉันก็ไม่เชื่อเรื่องหมอดูนะ แล้วก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องดวงสักเท่าไร
แต่ในเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่านี้ก็เลยอยากจะลองดูบ้างเผื่อจะช่วยให้สบายใจขึ้นมาบ้าง พอสามีฉันฟังแล้วก็เห็นดีด้วย แล้วเราก็ไปดูดวงกัน การดูดวงครั้งนั้นทำให้เราสบายใจขึ้นมาได้มากจริงๆแม้ว่าจะไม่ค่อยเชื่อคำทำนายทายทักนัก คือหมอดูทักได้ทักว่าในช่วงนี้สามีของฉันไม่ค่อยดีมีราหูเข้าแทรก ความจริงเจ้าราหูนี่มันเข้ามาตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้วก็คือตั้งแต่สามีของฉันเริ่มออกนอกลู่นอกทางนั่นแหละ
ตอนนี้ราหูกำลังจะออกหมายถึงว่าราหูกำลังจะโคจรออกจากชะตาชีวิตของสามีฉันในอีกไม่ช้า นั่นก็หมายถึงว่าสามีของฉันจะกลับมารุ่งเรืองเหมือนเดิมอีกครั้ง แต่ก่อนที่สามีฉันจะผ่านช่วงนี้ไปได้ก็จะต้องพบกับเรื่องร้ายๆถึงเลือดตกยางออกเสียก่อน เมื่อฟังแล้วฉันก็ออกจะตกใจอยู่เหมือนกันจึงได้ถามวิธีแก้ไข หมอดูก็แนะนำว่าให้ไปทำบุญใหญ่สักครั้งหรือว่าจะให้ดีก็ควรจะถวายพระประธานให้กับวัดใดวัดหนึ่งสักองค์ พร้อมกับถือศีลกินเจสัก 1 อาทิตย์
"ถ้าคุณสองคนทำได้อย่างที่ผมพูดนี่นะทุกอย่างจะดีขึ้น พร้อมกันนั้นคุณทั้งสองคนก็จะได้ลาภก้อนใหญ่เป็นรางวัลแต่มันอยู่ที่ว่าคุณจะสามารถรักษาเอาไว้ได้หรือไม่เท่านั้น ไปแก้ดวงเสริมดวงด้วยการทำบุญตามที่บอกรับรองว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่นแม้จะประสบอุบัติเหตุถึงเลือดตกยางออกมันก็จะไม่ร้ายแรงอย่างที่ควรจะเป็นเพราะว่าผลบุญจะมาช่วยรองรับเอาไว้"
หมอดูได้บอกกับฉันและสามีเช่นนั้น หลังจากที่ฉันได้ฟังคำทำนายของหมอดูแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจมันเหมือนกับว่ามีอะไรมาถ่วงน้ำหนักอยู่ในใจ ฉันได้ถามสามีว่าสามีของฉันเชื่อหรือไม่เขากลับหัวเราะบอกว่าไม่เชื่อ แต่ก็เอาเถอะเพื่อความสบายใจก็จะพยายามทำบุญอย่างที่หมอดูทัก จากนั้นเราสองคนก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กันอีก
หลังจากที่ไปดูดวงมาได้ประมาณ 2 เดือน ตอนนั้นสถานการณ์งานของครอบครัวเราก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้นนักแต่ก็เริ่มมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอู่เพิ่มมากขึ้นจึงทำให้มีเงินหมุนเวียนมาใช้ในครอบครัวบ้างและในช่วงนั้นก็ตรงกับวันปีใหม่
ในปีนั้นสามีได้ชวนฉันกลับไปเที่ยวบ้านเขาที่พิจิตรฉันก็เห็นว่าไม่ได้กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ของสามีนานแล้วจึงได้ตอบตกลงที่จะไปด้วยกัน
ระหว่างที่อยู่จังหวัดพิจิตรสามีก็พาฉันตระเวนเที่ยวตามบ้านญาติๆของเขาที่อยู่อำเภอที่ใกล้และในวันนั้นเองเราก็บังเอิญได้ไปเจอวัดของหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งกำลังก่อสร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่อยู่ วัดนี้ยังไม่เจริญนักคือมีแต่ดินโล่งๆมีกุฏิพระอยู่ 1 หลังกับศาลาหลังเก่าที่สร้างด้วยไม้เก่าจนจะพังอยู่หลังหนึ่งและศาลาหลังใหม่ที่กำลังก่อสร้างได้เพียงครึ่งเดียวโดยไม่มีเมรุเผาศพ วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ของหมู่บ้านถ้านับอายุวัดก็เกือบเต็ม 100 ปีแล้ว
พอเห็นวัดเท่านั้นสามีของฉันก็เกิดความคิดว่า ถ้าคิดจะทำบุญใหญ่ก็น่าจะทำกับวัดนี้เป็นดีที่สุด ในตอนนั้นฉันยังไม่ได้คิดถึงเรื่องทำบุญทำทานอะไรนะ มีเพียงสังเวชว่าทำไมที่นี่ถึงได้แร้นแค้นแล้วก็กันดารนัก ขนาดศาลาวัดยังไม่มีจะให้คนขึ้นไปนั่งทำบุญและอีกนัยหนึ่งก็นึกว่าที่นี่มันช่างเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนเสียจริงๆไม่เหมือนกรุงเทพที่ฉันเกิดเอาเสียเลย ถึงแม้ว่าฉันจะแต่งงานกับคนพิจิตรแต่ก็ได้เดินทางมาเที่ยวบ้านสามีน้อยครั้งมากโดยเฉพาะบ้านญาติคนนี้ถือว่ามาเป็นครั้งแรกเท่านั้น
ซึ่งสามีของฉันบอกว่าจะมาทำบุญที่นี่ก็ยังแปลกใจเพราะว่าร้อยวันพันปีสามีไม่เคยพูดถึงเรื่องการทำบุญอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลย สามีก็เลยเท้าความถึงคำทำนายของหมอดูที่ให้ทำบุญใหญ่ก่อนเดือนเมษายนปีนี้เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ ฉันจึงถึงบางอ้อ ในตอนนั้นฉันยังหัวเราะล้อเลียนสามีเลยว่า
"ไหนคุณว่าไม่เชื่อไงที่แท้ก็คิดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลาใช่ไหมล่ะ"
ตกลงใจว่าเราจะร่วมกันทำบุญที่วัดแห่งนี้ สามีของฉันก็ไปหาหลวงพ่อ บอกท่านว่าจะขอเอาผ้าป่ามาทอดที่วัดสักกองแล้วก็จะถวายพระประธานให้วัดด้วยสักองค์ หลวงพ่อท่านดีใจมาก
"ก็ดีสิโยม ทางวัดนะยังขาดปัจจัยสมทบในการปลูกสร้างศาลาการเปรียญให้แล้วเสร็จ เมื่อโยมคิดอย่างนั้นไปอาตมาก็ขออนุโมทนาบุญด้วยนะ"
หลวงพ่อองค์นั้นท่านให้ศีลให้พรอีกยกใหญ่พร้อมกับให้เด็กวัดไปตามกรรมการวัดมารับฟังแล้วก็ร่วมรับรู้การจะมาทอดผ้าป่าของสามีฉันพร้อมทั้งเตรียมการต้อนรับเมื่อถึงวันงานซึ่งจากการพูดคุยกันก็ได้ตกลงกันว่า สามีของฉันเขาจะจัดหาผ้าป่ากองหนึ่งมีจำนวนเงินอย่างน้อย 5 หมื่นบาทพร้อมกับพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระประธานมาทอดที่วัดแห่งนี้ ในวันที่ 11 เมษายนปี 2544 เพื่อที่จะได้ถือโอกาสเฉลิมฉลองผ้าป่าไปพร้อมกับเทศกาลสงกรานต์ ไปพร้อมกันเลยทีเดียว
หลังจากนั้นสามีของฉันก็ได้เที่ยวบอกบุญหาคณะกรรมการผ้าป่า เขาได้มาจำนวนหนึ่งและได้จัดการพิมพ์ซองแล้วก็กลับไปขอตราประทับของวัดมาประทับซองก่อนที่จะแจกจ่ายไปยังผู้ประสงค์ที่จะร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่า เวลานั้นฉันถึงได้มั่นใจว่าสามีของฉันตั้งใจจะทำบุญใหญ่จริงๆคือก่อนหน้านั้นฉันก็ยังไม่ค่อยเชื่อสามีเท่าไรว่าเขาจะทำ ฉันเห็นสามีเอาจริงเอาจังก็เลยตกลงใจที่จะลงมือช่วยด้วยการนำซองไปแจกจ่ายให้กับญาติๆเพื่อนฝูงและก็คนที่รู้จักอีกแรง จนกระทั่งประมาณปลายเดือนมีนาคมเราก็ได้รวบรวมซองผ้าป่าที่แจกจ่ายไปเกือบทั้งหมดเตรียมพร้อมที่จะเดินทางไปทำพิธีที่วัดตามที่นัดหมายกันไว้คือวันที่ 11 เมษายน 2544 ซึ่งก็ได้ข่าวว่าญาติๆของสามีรวมทั้งคนในหมู่บ้านที่อยู่ทางโน้นก็ได้เตรียมการต้อนรับอย่างดี เนื่องจากนานๆจะมีผ้าป่าของวัดสักครั้ง
ฉันเองก็รู้สึกอิ่มเอิบไปกับผลบุญที่ร่วมกันสร้างกับสามีในครั้งนั้นจนกระทั่ง ใกล้ถึงวันที่จะเดินทางเมื่อวันที่ 6 เมษายนระหว่างที่สามีของฉันเดินทางไปเก็บซองผ้าป่างวดสุดท้าย ระหว่างทางกลับบ้านก็ได้เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น คือสามีของฉันได้ขับรถไปชนกับเสาไฟฟ้าเนื่องจากหักหลบรถมอเตอร์ไซค์ที่ขับปาดหน้า เขาได้รับบาดเจ็บ สามีของฉันหัวแตกเล็กน้อย แขนหักต้องเข้าเฝือกแต่ว่าอาการอื่นๆก็ไม่เป็นอะไร
แบบว่ายังโชคดีมากเพราะว่าสภาพรถที่เห็นพังยับเยินใครๆต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คนขับไม่น่ารอด เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ถึงจะทำให้สามีของฉันไม่สามารถที่จะนำผ้าป่าไปทอดที่วัดตามกำหนดได้เนื่องจากออกจากโรงพยาบาลไม่ทัน ฉันจึงได้แจ้งเรื่องไปที่วัด พวกเขาแสดงความเสียใจกับฉันที่สามีจะต้องประสบเคราะห์กรรม แต่ก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรที่ไม่สามารถนำผ้าป่าไปทอดตามกำหนดได้ เพียงแต่บอกว่ามันเป็นเรื่องสุดวิสัยก็ไม่ว่าอะไรเอาไว้ให้หายดีเมื่อไหร่แล้วค่อยนำเงินที่ได้ไปทอดผ้าป่าในภายหลังก็ได้
กว่าที่สามีของฉันจะหายเป็นปกติได้ก็ใช้เวลาร่วมเดือน งานการที่อู่ก็ไม่ได้ทำเพราะไม่มีคนดูแล ตัวฉันเองก็ไม่เป็นภาษาเอาเสียเลยช่วงนั้นจึงถือเป็นช่วงวิกฤตครั้งใหญ่อีกครั้งของเราเลยก็ว่าได้เพราะนอกจากจะไม่มีเงินใช้จ่ายภายในบ้านแล้วก็ยังไม่มีเงินไปจ่ายค่าหมอค่ายาที่โรงพยาบาลอีกในตอนนั้นสามีของฉันได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนซึ่งค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ฉันได้ปรึกษากับสามีว่าจะแก้ปัญหานี้ได้ยังไงสามีก็ได้แต่นิ่งอึ้งตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไง วันต่อมาก่อนที่สามีของฉันจะออกจากโรงพยาบาลเขาก็ได้ถามฉันว่า
"ซองผ้าป่านั้นยังอยู่หรือเปล่า"
ฉันก็ได้ตอบเขาไปว่า "ฉันเก็บรักษามันไว้เป็นอย่างดีเลย"
"ไปเอามาให้ผมดูหน่อยนะ"ฉันคิดว่าตัวเขาคงอยากจะชื่นชมกับผลบุญที่เขาได้สร้างในครั้งนี้และฉันก็คิดว่าสามีของฉันคงจะเครียดมากเนื่องจากไม่มีเงินไปจ่ายค่ายาเขาคงอยากหากำลังใจฉันจึงได้กลับไปนำซองผ้าป่าทั้งหมดมาให้สามีดู สามีได้ชวนฉันแกะซองนับว่าเงินผ้าป่าได้ทั้งหมดเท่าไร ฉันก็ทำตาม เราได้แกะซองผ้าป่านับกันในห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาลนั่นเอง ทั้งหมดแล้วได้เงินทั้งสิ้นร่วมแสนบาทขาดอยู่เพียงไม่ถึงร้อยเท่านั้น เย็นวันนั้นฉันก็กลับบ้านพร้อมกับเงินผ้าป่าที่นับได้ ฉันไม่ได้นอนเฝ้าสามีเพราะที่บ้านไม่มีใครอยู่กับลูกอีก 3 คนโดยเฉพาะคนเล็กก็อายุเพิ่งจะขวบเท่านั้นและก่อนกลับฉันก็ยังพูดกับสามีเลยว่า
"พรุ่งนี้จะเอาเงินที่ไหนจ่ายค่าโรงพยาบาล"
สามีก็พูดยิ้มๆ
"ไม่ต้องห่วงนะเราเตรียมไว้แล้ว"
ฉันมารู้ภายหลังว่าสามีของฉันเขาได้แอบเอาเงินผ้าป่าออกไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลในครั้งนั้น ตอนแรกฉันก็ต่อว่าเขาว่ามันเป็นบาปติดตัว เขาก็แก้ตัวว่าเดี๋ยวเขาจะหามาใช้คืนให้ครบตามจำนวนที่ออกไป
"มันไม่บาปหรอก-อ้อย-เราจำเป็นต้องเอาไปใช้ก่อนแล้วเราก็ค่อยหาคืนทีหลังมันคงไม่ผิดอะไรหรอกนะ"
หลังจากที่สามีของฉันออกจากโรงพยาบาลได้ 5 เดือน ฉันเห็นเขาทำเฉยกับการที่จะเอาเงินไปคืนวัด หมายถึงเอาผ้าป่าไปทอดตามสัญญาฉันจึงทวงถาม เขาก็บอกฉันว่า
"ผมขอเวลาอีกสักพักนะ รู้ไหมล่ะตอนนี้น้ำขึ้นต้องรีบตัก"
งานอู่เยอะมากและก็มีลูกค้ามาใช้บริการไม่ได้ขาดจนเราสามารถเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ฉันจึงไม่ได้ว่าอะไรเขา ผ่านไปจนถึงปีใหม่อีกครั้งคือปีพุทธศักราช 2545 ซึ่งช่วงนั้นสามีก็ได้นัดหมายกับทางวัดว่าจะนำเงินไปทอดผ้าป่าตามที่สัญญา ก่อนถึงปีใหม่ประมาณอาทิตย์หนึ่งสามีของฉันก็ได้ขอเดินทางไปบ้านที่พิจิตรส่วนตัวฉันเองก็มีกำหนดที่จะตามไปสมทบทีหลังเพราะไม่อยากให้ลูกๆหยุดโรงเรียนหลายวันและที่สามีต้องขึ้นไปก่อนก็เนื่องจากว่าญาติของสามีได้บอกที่จะยกที่ดินให้แปลงหนึ่ง ที่ดินผืนนั้นเขาใช้ทำนาต่อมาได้ขุดบ่อเลี้ยงปลาแล้วก็บังเอิญเจ้าของที่ดินก็คือน้องชายแท้ๆได้เสียชีวิตลงน้องของสามีไม่มีภรรยาแล้วก็ลูก พ่อแม่ของเขาจึงบอกที่จะยกที่ทั้งหมดให้สามีของฉันสามีฉันจึงขึ้นไปจัดการรับโอนอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจนเรียบร้อย ก่อนสามีไปฉันยังพูดทีเล่นทีจริงกับสามีว่า
"หมอดูที่เคยดูดวงให้คุณน่ะเค้าดูแม่นจริงๆเลยนะนี่ขนาดยังไม่ได้นำเงินไปทำบุญที่วัดยังได้รับกลับมามากขนาดนี้เนี่ยถ้าเราทำบุญเสร็จหมายถึงว่าเราถวายผ้าป่าแล้วก็ถวายพระประธานอย่างที่เราได้พูดไปกับหลวงพ่อจริงๆฉันว่านะเผลอๆอาจจะมีใครยกกิจการให้เราอีกก็ได้นะคุณ แล้วพระประธานที่ว่าคุณจะนำไปถวาย คุณไปเช่าบูชาไปแล้วหรือยังล่ะ"
"ผมก็กะว่าจะไปบูชาเอาแถวๆบ้านที่พิจิตร เราจะได้ไม่ต้องขนไกลไงล่ะ"
ฉันรู้สึกปลื้มปีติไปกับสามีด้วย พอถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2544 ฉันก็ได้เดินทางไปสมทบกับสามีที่พิจิตรแปลว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันปีใหม่ที่ 1 มกราคม 2545 แล้วก็เป็นวันกำหนดที่จะไปทอดผ้าป่ากันที่วัด ตัวฉันเองก็ไม่ได้นัดหมายใครให้ไปร่วมทำบุญเหมือนคราวก่อนเพราะเห็นว่าเรื่องราวมันก็ล่วงเลยมาเป็นปีแล้ว คนอื่นๆเขาก็คงคิดว่าเราได้เอาเงินไปทำบุญที่วัดเรียบร้อยแล้ว ขนาดญาติๆฉันถาม ฉันจะบอกเขาว่าจะสามีได้นำเงินไปถวายวัดหมดแล้วเพราะไม่อยากให้พวกเขาคิดมาก ไหนๆพวกเขาก็ตั้งใจทำบุญกันแล้ว
พอไปถึงบ้านพ่อแม่ของสามีฉันกลับไม่เห็นสามีว่าจะมีทีท่าว่าจะจัดเตรียมขบวนพระป่าไปทอดแต่อย่างใด คนอื่นเขาก็เฉยๆเหมือนกับไม่รู้ว่าจะมีขบวนผ้าป่า พอฉันเอ่ยถามสามีก็บอกฉันว่า
"ผมก็ไม่ได้บอกใครหรอกนะ เราไปกันง่ายๆก็ได้จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองอะไรเมื่อครั้งก่อนน่ะทางวัดก็ต้องหมดเปลืองจัดงานไปทีหนึ่งแล้วนี่นา"
ฉันได้ฟังก็ดีเหมือนกันแทนที่จะเอาเงินนั้นไปหมดกับค่างานค่าอาหารเพื่อเป็นการต้อนรับ จะได้เก็บไว้เป็นทุนสร้างศาลาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่พอถึงวันที่ 1 มกราคม 2545 ฉันก็ตื่นแต่เช้าเตรียมตัวรอสามีปรากฏว่าเขาเป็นเมาฉลองปีใหม่กับพรรคพวกตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่กลับ จนสายจนค่ำสามีก็ยังไม่กลับฉันรู้สึกหงุดหงิดอารมณ์เสียมากและก็โกรธสามี ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นคนเลวร้ายได้ถึงเพียงนี้
หลังจากเจอหน้าเขาในวันต่อมาฉันก็ต่อว่าต่อขานเขาพร้อมกับยื่นคำขาดให้เขาเอาเงินไปทำบุญให้เรียบร้อยเรื่องจะได้จบๆไปสักที แล้วฉันก็ต้องโกรธสามีเป็นคำรบสองเพราะว่าสามีของฉันได้เอาเงินทำบุญส่วนหนึ่งไปกินเที่ยวระหว่างที่มาอยู่นี่ 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา ซ้ำร้ายเขายังเอาเงินทั้งหมดไปเล่นการพนันหมดไปจำนวนมาก เป็นอันว่าสามีของฉันผิดนัดกับทางวัดที่ว่าจะเอาเงินไปทำบุญอีกเป็นครั้งที่ 2
ฉันโกรธสามีมากจึงได้พาลูกๆหนีกลับกรุงเทพก่อนโดยไม่รอเขา ต่อมาฉันก็ได้รับข่าวร้ายของสามีอีกครั้งคือระหว่างที่ขับรถกลับกรุงเทพสามีได้ขับรถไปชนท้ายรถพ่วงได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกซี่โครงหักไหปลาร้าหักหัวแตกถูกนำส่งโรงพยาบาลที่จังหวัดนครสวรรค์ จากนั้นฉันก็ทำเรื่องย้ายตัวเขามารักษาตัวที่กรุงเทพเพื่อสะดวกในการดูแล สามีของฉันต้องนอนรักษาตัวอยู่นานกว่าจะหายเป็นปกติ แถมยังต้องนำเงินทำบุญส่วนที่เหลือมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าเสียหายของคู่กรณีที่ไปชนเขาจนกระทั่งเงินหมด
หลังจากสามีของฉันหายแล้วเขาก็ต้องปิดอู่รถเนื่องจากไม่มีเงินดำเนินการต่อไป เขากลับไปเลี้ยงตะพาบ เลี้ยงปลาอยู่ที่จังหวัดพิจิตร แล้วก็กลับไปทำสวนผลไม้แบบว่ากึ่งๆไร่นาสวนผสม กิจการของสามีฉันเดินหน้าไปด้วยดีฉันจึงได้บอกสามีฉันว่าให้เขารวบรวมเงินไปคืนทั้งวัด เพราะมันก็เนิ่นนานมาจะ 2 ปีแล้ว พอฉันพูดเขาก็ทำท่าหงุดหงิดที่ฉันไม่เลิกพูดเรื่องนี้สักที ฉันเองดูท่าทางของเขาแล้วคิดเอาเองว่าเขาคงไม่อยากเอาเงินไปคืนวัดอีกแล้วเพราะเงินจำนวนแสนในเวลานั้นถือว่ามากโขอยู่และอีกอย่าง ทุกอย่างมันก็ล่วงเลยมาตั้งปีกว่าแล้วคิดว่าคงไม่มีใครสนใจอีกทั้งทางวัดเองก็อาจจะลืมไปแล้วว่าสามีของฉันสัญญิงสัญญาอะไรไว้
แต่ว่าฉันไม่ยอม ฉันยืนยันว่าจะให้เขาเอาเงินไปคืนวัดให้ได้ ถึงคนอื่นไม่รู้ไม่คิดแต่เรารู้อยู่แก่ใจตลอดเวลา ระยะหลังฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่สามีฉันเกิดอุบัติเหตุแทบเอาชีวิตไม่รอดไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะว่าบาปกรรมที่ไปผิดสัญญากับพระ อมเงินทำบุญที่คนอื่นเขาตั้งใจทำไปใช้หรือเปล่า หลังจากที่คุยตกลงว่าให้สามีหาเงินไปคืนให้วัดโดยเร็วที่สุด
สามีของฉันตกลงว่าสงกรานต์ปี 2546 จะเอาเงินไปถวายวัดให้หมด ฉันไม่เชื่อใจจึงให้เขาเขียนจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่งส่งไปให้ที่วัด โดยเนื้อหานั้นได้ระบุว่าจะเอาผ้าป่าไปทอดที่วัดตามที่ได้สัญญาเอาไว้ในปี 2544 และตัวฉันเองก็เป็นคนจัดการพับใส่ซองแล้วก็เอาไปส่งกับมือตัวเอง เพื่อที่สามีจะได้ไม่แกล้งทำเป็นลืมอีก พอถึงกำหนดสามีฉันก็เอาอีกแล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเขาแล้ว และก็ดูเหมือนว่ากรรมกำลังจะตามมาทันอีกจนได้ เพราะว่าหลังจากสงกรานต์ในปีนั้นสามีของฉันก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปชนกับรถกระบะขาหักต้องใช้เหล็กดามเอาไว้จึงกลับมาเดินได้เหมือนเดิม ฉันจึงได้บอกกับสามีว่า
"เห็นไหมล่ะกรรมที่ทำไว้น่ะมันตามมาแล้วคุณยังไม่เชื่ออีกหรือไง"
สามีของฉันจึงสัญญาว่าภายในเดือนตุลาคม 2546 หลังจากขายข้าวแล้วก็ผลผลิตอื่นๆได้เขาจะรีบนำเงินทั้งหมดไปคืนวัด ฉันก็ขอให้เป็นจริงอย่างที่เขาพูด แต่พอถึงกำหนดเขาได้เงินมาจริงๆแทนที่สามีฉันจะนำเงินกลับไปคืนวัดอย่างที่ว่าเอาไว้เขากลับนำเงินทั้งหมดไปถอยรถกระบะคันใหม่มาขับอย่างสบายใจ ฉันโกรธมากพร้อมกับลั่นวาจาว่าจะไม่ขอยุ่งเรื่องนี้อีก อะไรจะเกิดก็ขอให้เขารับไปแต่ผู้เดียว หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้เจอหน้าสามีของฉันอีกเลย ฉันรู้ข่าวอีกทีหลังจากวันลอยกระทงที่ผ่านมา ญาติของเขาแจ้งมาว่า สามีของฉันได้ขับรถคันใหม่แหกโค้งตกลงไปในบ่อน้ำตายคารถในวันลอยกระทงนั้นเอง
คิดแล้วฉันได้แต่นั่งเสียใจ เศร้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไรได้อีกต่อไปแล้ว สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ในเวลานี้ ฉันจะต้องพยายามหาเงินให้ได้เท่ากับจำนวนที่มีผู้บริจาคทำบุญทอดผ้าป่า แล้วก็นำไปคืนให้ทางวัดเร็วที่สุด เพราะถึงอย่างไรฉันก็มีส่วนเกี่ยวข้องในกรรมครั้งนั้นอย่างแน่นอน....

จบ

1 ความคิดเห็น:

  1. ฉันต้องการบอกให้โลกรู้อย่างรวดเร็วว่ามีลูกล้อคาถาออนไลน์ที่ทรงพลังและเป็นของแท้มากชื่อของเขาคือดร. edede เขาช่วยให้ฉันรวมตัวกับความสัมพันธ์ของฉันกับ hubby ที่ทิ้งฉันเมื่อไม่นานมานี้เมื่อฉันติดต่อดร. edede เขาได้สะกดความรักให้ฉันและ hubby ของฉันก็โทรหาฉันหลังจากผ่านไป 2 วันและเริ่มขอร้องให้ฉันกลับมาในชีวิต ... เรากลับมาแล้วในตอนนี้ด้วยความรักและการเอาใจใส่มากมาย วันนี้ฉันดีใจที่จะให้คุณทุกคนรู้ว่าลูกล้อสะกดนี้มีอำนาจในการคืนค่าความสัมพันธ์ที่หักกลับมาเพราะตอนนี้ฉันมีความสุขกับ hubby ของฉัน ... หากมีใครออกมีที่อ่านบทความนี้และต้องการความช่วยเหลือใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ปัญหาด้านล่างนี้ยังสามารถติดต่อดร. edede เพื่อขอความช่วยเหลือในปัญหาดังต่อไปนี้: (1) การรักษาโรคทุกประเภท (2) คดีในศาล (3) คาถาการตั้งครรภ์ (4) การป้องกันทางจิตวิญญาณ (5) การรักษาโรคมะเร็ง (6) สำหรับโรคเริม (7) รักษาโรคเอดส์และอื่น ๆ อีกมากมาย ... คุณสามารถติดต่อเขาทางอีเมลของเขา: ededetemple@gmail.com หรือโทร / WhatsApp ด้วยหมายเลขโทรศัพท์มือถือของเขาที่ +38972751056

    ตอบลบ